สงขลาพอเพียง : เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพจังหวัดสงขลา - Songkhla Health

หนุนเสริมภาคี ประสานความร่วมมือ

เมืองสงขลา , อำเภอเมืองสงขลา : ประวัติความเป็นมาของอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา

เมืองสงขลา , อำเภอเมืองสงขลา

ประวัติความเป็นมา

คำว่า "สงขลา" ที่ค้นพบตรงกันหลายข้อ เช่น พระราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ ๕ ว่าสงขลาเดิมชื่อ สิงหนคร (อ่านว่า สิง-หะ-ระ-คะ-ระ)ชาวมลายูเขาลิ้นรัวออกเสียงอาไม่ได้ตัด หะ และ นะ ออก เหลือแต่ สิงคะรา ส่วนอีกเรื่องหนึ่งว่า เมื่อกษัตริย์มัชปาหิตองค์หนึ่งมีอาณาจักรบนแหลมมลายู นับถือพุทธศาสนาลัทธิหินยาน

เมื่อภายหลังอาณาจักรศรีวิชัยบนเกาะสุมาตราล่มแล้วนำชื่อสิงห์ของพระโพธิสัตว์มัชชุศรีปางหนึ่งมาเป็นชื่อเมืองที่สร้างใหม่ครั้งกระโน้น เช่น สิงปุระ (สิงคโปร์) สิงหรัชยา (บนเกาะบาหลี) สิงหสารี (บนเกาะชวา) สิงโครา เพี้ยนมาเป็น สงขลา (ศาสตร์จารย์ C.CBerg ที่สอนประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมลายู เมื่อ ๒๖ มกราคม ๒๔๙๘)

บางท่านว่าคำนี้มาจาก สิงหลา (สิงหะลา) เป็นภาษาเปอร์เซีย เพราะพวกนี้มาค้าขายมลายูและสุมาตรา สมัยอาณาจักรศรีวิชัย มาถึงสงขลา เห็นเกาะหนู-เกาะแมว ในทะเลหน้าเมือง รูปเหมือนสิงห์สองตัวเฝ้าอยู่จึงเรียกว่า สิงหลา แปลว่า เมืองสิงห์ แต่อินเดียเรียกเป็น สิงหลา (สิงหะลา) ส่วนไทยเราเรียก สทิง ครั้นมลายูค้าขายบ้างก็เรียกเป็น เซงกอร่า (Senggora) ต่อมาเป็นซิงกอรา (Singora)ไทยเราเรียกตามเสียงมลายู เพี้ยนมาเป็นสงขลา

  • พ.ศ.๒๓๑๒ พระเจ้าตากสินได้ยกกองทัพมาตีนครศรีธรรมราชแล้วเสด็จเลยมาถึงเมืองสงขลา ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๓๒๕ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โปรดเกล้าฯให้สงขลาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช
  • พ.ศ.๒๓๓๓ ตวนกูเดน บุตรพระยาไทรบุรีเป็นกบฏหนีไปอยู่ที่ปีนัง ส่งคนมายุให้เมืองยะลา เมืองยะหลิง เมืองปัตตานี ยกทัพมาตีเมืองสงขลา
  • พ.ศ.๒๓๓๔ เจ้าพระยาตรัง ยกทัพกรุงมาปราบแล้วมาพักที่สงขลา สร้างเจดีย์ไว้บนเขาแดงองค์หนึ่ง
  • พ.ศ.๒๓๘๑ ตวนกูอาหะหมัดสะบัด หลานเจ้าพระยาไทรบุรีกบฏอีก ชวนปัตตานี ไทรบุรี และหัวเมืองในมลายู ยกทัพเข้ามาตีเมืองสงขลา ทัพจากเมืองมีพระยาศรีพิพัฒน์กับทัพนครศรีธรรมราชปราบได้ สร้างเจดีย์บนยอดเขาแดงอีกองค์หนึ่ง
  • พ.ศ.๒๓๗๙ รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าให้ย้ายเมืองที่แหลมสนมาอยู่ที่ปัจจุบัน (ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา)
  • พ.ศ.๒๓๘๕ รัชกาลที่ ๓ โปรดพระราชทานส่งหลักชัยเมืองสงขลา จัดพิธีวางหลักเมืองพุ่ม เมื่อขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีขาล (วางหลักชัยเมืองสงขลาที่บริเวณถนนนางงามในปัจจุบัน)
  • พ.ศ.๒๔๐๕ รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าให้สร้างถนนสงขลาถึงสะเดา เพื่อเชื่อมกับไทรบุรีและยกสงขลาขึ้นเป็นที่ทำการมณฑลเทศาภิบาลนครศรีธรรมราช
  • พ.ศ.๒๔๗๕ รัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าให้ยุบมณฑลภิบาลทั้งหมด สงขลาจึงเป็นจังหวัด

ลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์

ที่ตั้งและอาณาเขตอำเภอเมืองสงขลาเป็นอำเภอหนึ่งในจำนวนทั้งหมด ๑๖ อำเภอของจังหวัดสงขลา มีอาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้

  • ทิศเหนือ จดอำเภอสิงหนคร
  • ทิศใต้ จดอำเภอจะนะและอำเภอหาดใหญ่
  • ทิศตะวันตก จดอำเภอรัตภูมิและอำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง
  • ทิศตะวันออก จดอ่าวไทย

อำเภอเมืองมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นลงสู่อ่าวไทย ตั้งอยู่ตรงปากน้ำทะเลสาบสงขลา อำเภอเมืองสงขลา ทางทิศใต้ของปากน้ำนั้นมีลักษณะเป็นที่ราบสูงมีภูเขา เช่น ภูเขาสำโรง เขาเทวดา เขาเกาะแต้ว เขาตังกวน และเขาน้อย นอกจากนี้อำเภอเมืองประกอบด้วยเกาะ ๓ เกาะ คือ เกาะยอ เกาะหนู และเกาะแมว ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ ทำสวน ทำนา และทำประมงตามริมฝั่งทะเล

อำเภอเมืองสงขลาประกอบด้วย ๖ ตำบล

  1. ตำบลเขารูปช้าง
  2. ตำบลพะวง
  3. ตำบลเกาะแต้ว
  4. ตำบลทุ่งหวัง
  5. ตำบลเกาะยอ
  6. ตำบลบ่อยาง ซึ่งเป็นเขตเทศบาลเมืองสงขลา

อำเภอเมืองสงขลาปัจจุบันไม่มีเขตสุขาภิบาล ยกเว้นตำบลบ่อยางซึ่งยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองสงขลาซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัด ศาลจังหวัด และเป็นศูนย์รวมการบริหารราชการต่างๆ ในจังหวัดสงขลา

ลักษณะภูมิอากาศ

อำเภอเมืองสงขลามี ๒ ฤดูกาล คือ ฤดูร้อน และฤดูฝน แต่มีฝนตกชุกตลอดปีทำให้อำเภอเมืองสงขลาสามารถปลูกพื้นไร่สวนได้ตลอดปี อำเภอเมืองสงขลาเป็นที่ตั้งของศูนย์พยากรณ์อากาศและศูนย์วัดแผ่นดินไหวของจังหวัดสงขลา ลักษณะของฤดูฝนในจังหวัดสงขลาอยู่ในระหว่างตุลาคม-มกราคม ซึ่งจะแตกต่างกับลักษณะฤดูฝนของภาคอื่นๆในประเทศไทย

ขนบธรรมเนียมประเพณี

ประเพณีที่สำคัญประจำอำเภอเมืองสงขลา คือ ประเพณีชักพระ ประเพณีวันสารท (ชิงเปรตเดือนสิบ) นอกจากนี้ก็ยังมีประเพณีวันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ วันวิสาขะ วันมาฆะบูชา ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้รักษาประเพณีอันดีงามไว้ด้วยดีตลอดมา

ประชาชนในอำเภอเมืองสงขลาบางส่วนของอำเภอเมืองสงขลายังมีความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางอยู่มาก เช่น การเล่นมโนราห์โรงครู การพิธีสะเดาะเคราะห์ การเชื่อในเทวดา ศาลพระภูมิ

กีฬาพื้นบ้าน

ในอำเภอเมืองสงขลามีการเล่นกีฬาชนโค ชนไก่ กัดปลา มวยไทย หนังตะลุง โนราห์ฯ ฯลฯ

Comment #21มโนราห์โรงครู
บอล (Not Member)
Posted @8 ม.ค. 53 12:57 ip : 113...226

ประเพณีโนราห์โรงครู

โนราห์โรงครูเป็นการละเล่นพื้นเมืองที่สืบทอดกันมานาน และนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายในภาคใต้ โดยเฉพาะที่สงขลาและพัทลุง เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ และประกอบพิธีกรรม เพื่อใช้ในการอัญเชิญบรรพบุรุษที่เป็นโนราห์ ซึ่งเรียกว่า“ตายายโนราห์”หรือ“ตาหลวง”หรือ “ครูหมอตายาย”มายังโรงพิธีเพื่อรับการเซ่นสังเวย หรือรับของแก้บน  และเพื่อครอบเทริด “ตัดจุก” “ผูกผ้า” แก่โนราห์รุ่นใหม่  ด้วยเหตุที่ต้องทำการเชื้อเชิญครูมาเข้าทรงหรือมา“ลง”ยังโรงพิธีจึงเรียกพิธีกรรมนี้ว่า“โนราห์โรงครู”

โนราห์โรงครู เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อดั้งเดิมที่มีบทบาทต่อวิถีชีวิตและสังคมของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโนราห์และผู้มีเชื้อสายโนราห์มานาน โดยมีฐานความเชื่อว่าพ่อแม่ตายายที่ตายไปแล้วนั้นแท้จริงยังไม่ได้ไปไหน หากยังอยู่คอยปกปักรักษาชีวิตของลูกหลานให้อยู่รอดปลอดภัยดี มีความมั่งคั่งมั่นคง ตายายเหล่านี้จะมีโอกาสมาพบลูกหลานได้โดยมีโนราห์โรงครูเป็นพิธีกรรมที่ทำหน้าที่เปิดประตูปรโลกกับปัจจุบันให้บรรจบกันภายในโรงพิธี

พิธีกรรมโนราห์ ประกอบไปด้วยการร่ายรำ การเล่าเรื่อง การฟื้นตำนาน การขานบท การขับกลอนโนราห์ ดนตรี เพลงโนราห์เครื่องโนราห์ เล็บ หาง เทริด ฯลฯ และที่สำคัญคือ คนดูผู้ชม ซึ่งมีทั้งผู้จัดงาน เจ้าบ้าน แขกรับเชิญแขกที่ไม่ต้องรับเชิญ และชาวบ้านในละแวก  พิธีโนราห์โรงครูจึงเป็นกิจกรรมชุมชนที่มีการรวมหมู่รวมพวกปรองดองกันในการกระบวนการสร้างพิธีกรรม เพื่อให้คนทั้งชุมชนมารับรู้เรื่องในสายตระกูลตนเอง

ในพื้นที่คลองแหและใกล้เคียงหลายแห่ง ประเพณีโนราห์โรงครูนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของพี่น้องมุสลิมหลายตระกูลมาแต่ดั้งแต่เดิมด้วย  และเป็นของไทยพุทธก็มี

ภาคใต้กับพิธีกรรมต้องห้าม พิธีกรรมที่แอบซ่อนทำกันกลางป่า ห่างไกลจากสายตาของผู้คนและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งถูกอำพรางไว้ด้วยพิธีบูชาครูโนราห์ภาคใต้ ไม่บ่อยครั้งที่จะได้พบกับหมอผีคนเดียว หรืออาจจะเป็นคนสุดท้ายของ ต.วังตะโก จ.ชุมพร กับความเชื่อที่ว่าพิธีนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่แผ่นดินเท่าลูกสะบ้า แผ่นฟ้าเท่าใบบอน ผู้คนรุ่นปัจจุบันรู้สึกอย่างไรกับพิธีกรรมที่ว่านี้อย่างไร ชาวบ้านในภาคใต้ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าผู้ที่มีเชื้อสายของมโนราห์ จะมีตายาย ครูหมอมโนราห์คอยปกปักรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ร่มเย็นเป็นสุข ผู้เป็นลูกหลานจึงต้องเคารพบูชา และทำการเซ่นไหว้ตายาย โดยการจัดให้มีพิธีมโนราห์โรงครูเพื่อเซ่นบวงสรวงแก่ตายายตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ หากผู้ใดมีการปฏิบัติเอาอกเอาใจตายาย และระลึกถึงท่านอยู่เสมอ ชีวิตของผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคารพบูชาก็จะถูกลงโทษและตักเตือนจากตายายจนทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดการบนบานกับตายาย เมื่อคำบนบานนั้นได้ตามประสงค์ ก็ต้องมีการแก้บนโดยจัดให้มีพิธีมโนราห์โรงครูถวายแก่ตายาย พื้นที่ว่างเปล่าภายในหมู่บ้านวังตะเคียน อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ถูกแทนที่ด้วยโรงพิธีมโนราห์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเชื้อเชิญดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ตายาย ครูหมอมโนราห์ จากอีกภพให้ได้เจอกับลูกหลานผู้ที่เคารพนับถือ และอยู่ในเชื้อสายของมโนราห์ เสียงกลองเสียงทับจะเริ่มบรรเลงขึ้นในช่วงเย็นของวันพุธ ซึ่งมโนราห์เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่นกชุมรัง มโนราห์ก็ต้องเริ่มชุมนุมกัน ถือเป็นการเริ่มต้นพิธีมโนราห์โรงครู นายโรงมโนราห์จะเป็นผู้ทำหน้าที่ขับบทกลอน และร่ายรำมโนราห์ เพื่อเชื้อเชิญดวงวิญญาณตายาย ครูหมอมโนราห์จากอีกภพ ให้ลงมายังโรงพิธี เพื่อรับของเซ่นไหว้ ของบูชาจากบรรดาลูกหลาน พิธีกรรมจะดำเนินไปตลอดเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน และสิ้นสุดลงด้วยพิธีการกล่าวบทไกรทอง ร่ายรำการคล้องหงส์ และแทงเข้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การแก้บนนั้นเสร็จสมบูรณ์พิธีกรรมมโนราห์โรงครูจึงเปรียบเสมือนสื่อกลางที่จะเปิดประตูปรโลกกับปัจจุบันให้บรรจบกันภายในโรงพิธี เปิดโอกาสให้บรรพบุรุษตายาย ได้เจอกับลูกหลาน ถึงแม้ยุคสมัยจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยี แต่ความเชื่อ และความเคารพของผู้คนในดินแดนใต้ก็ยังคงยึดมั่นอยู่ในวิถีการเคารพครูหมอมโนราห์ อย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย พบกับเรื่องราวของโนราห์โรงครู

ปล.จริงเรื่องราวเล่านี้มีอยู่ทุกชุมชนแต่ที่เอามาลงเพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ออกอากาศ รายการคนค้นตน แต่ทั้งนี้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ปู่ย่าตายายพ่อแม่ ได้ปฏิบัติและปลูกฝังให้ลูกหลานได้มีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ แต่ท่านละจะทำลายสิ่งที่บรรพบุรุษปลูกฝังด้วยคำว่า FAKE เหรอ ขอไว้ทุกข์ให้กับคำดังกล่าว

:: งานเข้าโรงครู..รำมโนราห์แก้บน..::

ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา.. ที่บ้านญาติมีงานทำบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับในเครือญาติ และงานแก้บนของน้องชาย(ลูกน้า) หลังจากที่โดนครูหมอมโนราห์ ของคณะที่เป็นญาติกันเล่นงาน.. ที่ได้ละเมิดด้วยวาจา.. (บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า.. ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่) ก็เลยต้องบนบานกัน หายแล้วก็ต้องมารำแก้บนเป็นเรื่องเป็นราวกันเลย

น้องชายซึ่งไม่เคยรำมาก่อน ก็ต้องไปหัดรำ ตัดชุด แต่งองค์ทรงเครื่องและถวายตัวเป็นศิษย์ด้วย งานนี้ก็เลยต้องไปหัดรำกันเป็นเดือน ๆ เพื่อจะได้รำแก้บน แล้วก็เป็นศิษย์ของคณะนี้ไปด้วย และต้องมารำกับคณะแบบนี้ทุก ๆ ปี...

แต่งองค์ทรงเครื่อง ครอบครูเสร็จ.. บรรดาแม่ยกทั้งหลายก็ชวนกันเหน็บแบงค์ สีเทา สีม่วง และสีแดง เสร็จแล้วมานับได้ร่วม ๆ สามพันเชียว..

พิธีครอบครูเสร็จเมื่อตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็ต้องรำออกงานจริง ๆ อีกรอบ (งานแรก) ทำเอาแม่ยก พี่ยก ชมกันใหญ่ หารู้ไม่รำผิดรำถูก.. สั่นเป็นลูกนก ^^

มโนราห์แก้มแด๊ง แดง.. บ้านดินฯ แค่ตวัดหางตาเอง ใครมาปัดแก้มให้ล่ะเนี่ย..

ตากล้องไม่กล้าเข้าใกล้โรงมาก กลัวจะบังท่านผู้ชมข้างหลัง.. ก็เลยซูมม ๆ เอาค่ะ

กลางคืน.. แสงน้อย ๆ บางภาพก็เบลอ..

เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ร่วมงาน และดูการแสดงพื้นบ้านแบบนี้ ลมเย็นสบาย บรรยากาศแบบกันเอง เพลินดีจัง..

ต่อจากนั้น.. ก็มีน้องผู้หญิงรำต่ออีกสองคน คู่นี้มืออาชีพแล้วค่ะ งานไหนงานนั้น..

รำได้อ่อนช้อยดี.. มีเล่นหู เล่นตา แขนอ่อนเชียว.. ไม่เคยได้ดูชัด ๆ ติดขอบโรงแบบนี้ และเดี๋ยวนี้หาดูยากด้วย คงต้องอนุรักษ์แล้วหล่ะ ไม่งั้นโดนกลืนไปกับวัฒนธรรมตะวันตก เสียดายแย่เลย..

เท่าที่เห็นตอนนี้ ยังมีคณะมโนราห์ที่ยังแสดงอยู่บ้าง ไม่มากนัก นอกนั้นก็จะบรรจุอยู่ในการเรียนการสอนศิลปการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ ในรั้วมหาวิทยาลัยแถว ๆ ภาคใตั เป็นส่วนใหญ่

ลานสนามหญ้าหน้าโรง...

ผู้ชมวัยกระเตาะ.. ดนตรีไม่เร้าใจเหมือนจังหวะแด๊นซ์ สงสัยต้องรีบไล่ไปกินนม..นอน ซ๊ะแล่ววว ^^

ไม่มีโรงหนังเครื่องเสียงอลังการ.. แอร์เย็น ๆ เหมือนกรุงเทพมหานครอมรเบิกฟ้า...

ในวันฝนแล้ง..อากาศร้อน ๆ แดดร่มลมตกก็ชวนกันมาปูเสื่อ(เดี๋ยวนี้มีเก้าอี้เสริมแระ)..นั่งรับลมเย็น ๆ ใต้แสงจันทร์และดวงดาว ท่ามกลางญาติพี่น้อง ลูก ๆ หลาน ๆ ชมมหรสพพื้นบ้าน.. ง่วงก็กลับเข้าบ้านพักผ่อน แค่นี้ก็มีความสุข.. อบอุ่นตามประสา.. คนบ้านนอก บ้านสวน แบบเรา ๆ หล่ะน๊ะ..

รำแทงเข้

เหตุที่มีการรำแทงเข้ได้รำกันต่อๆมาในการรำมโนราโรงครู เพราะตามเรื่องในประวัติว่า เมื่อพวกอำมาตย์ของพระยาสายฟ้าฟาดได้ไปพาตัวนางนวลทองสำลีมาแล้ว เมื่อถึงปากน้ำจะเข้าเมืองมีจระเข้นอนขวางปากน้ำอยู่ เรื่อเข้าไปไม่ได้จึงได้มีการแทงเข้เสียก่อนเรือจึงจะเข้าไปได้ แต่ตามที่เห็นคือการแสดงเรื่องไกรทอง

การแทงเข้เป็นการเล่นโรงครูเพื่อแก้บนเช่นเดียวกัน การเล่นเขาเล่นเป็นเรื่องให้พรานเป็นจระเข้ (การทำรูปจระเข้ทำด้วยหยวกกล้วย มีการทำอย่างประณีตบรรจง มีการแทงหยวกกล้วยให้เป็นลวดลายกระหนกงกงอนสวยงามน่าดู คนแทงหยวกให้สวยงามต้องมีฝีมือดีเป็นพิเศษ ปัจจุบันหาดูได้ยากมาก และกำลังจะหมดไป) การแทงเข้ มโนราใหญ่หรือนายโรงจะเป็นผู้แทง การรำแทงเข้นี้รำกันนานมาก

Comment #22ujghitugkogfigmiut9jg
แดน (Not Member)
Posted @19 ก.ย. 55 18:27 ip : 113...194

ไพ่รำกำด

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว